สำหรับคนเป็นพ่อแม่ย่อมหวังให้ลูกมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่การศึกษาเล่าเรียน และหน้าที่การงาน ทั้งนี้การจะบรรลุสิ่งที่หวังนี้ได้นั้น พ่อแม่อีกนั่นแหละคือผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างพัฒนาการให้กับลูก
อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนมีสติปัญญาหรือไอคิวดี แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ก็มีมาก เด็กจึงต้องมีความฉลาดในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว คือ การมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีความสามารถนำพาชีวิตให้มีความสุขใจได้ และความฉลาดทางจริยธรรม หรือ เอ็มคิว คือ การมีคุณธรรมจริยธรรม ประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ เป็นต้น ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่จะทำให้เด็กมีทั้งสติปัญญา และความฉลาดด้านต่างๆ เหล่านี้ที่ดี ก็คือ การเลี้ยงดู การเอาใจใส่จากพ่อแม่
การใช้เวลาอย่างมีคุณค่าของครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ การโอบกอด การพูดชมเมื่อลูกทำดี การทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นโอกาสที่ลูกจะได้เรียนรู้ในทุกสิ่งรอบตัวจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ใส่ใจและมีเวลาอยู่ใกล้ชิดกับลูก จะพบว่าลูกของท่านคิด พูด ทำ ในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปจากครอบครัวหรือสังคมที่แวดล้อมตัวเขานั่นเอง ลูกใกล้ชิดกับใครมาก เขาก็จะลอกเลียนต้นแบบนั้น
ในช่วงที่ลูกยังเล็กอยู่ วิธีพัฒนาสติปัญญาและความฉลาดด้านต่างๆ ก็คือ การพูดคุยและการเล่านิทานให้ฟังเป็นประจำ จะทำให้เด็กรับรู้ถึงสายใยความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยที่พ่อแม่ส่งผ่านมากับกิจกรรมในครอบครัว เด็กที่ได้ฟังหรืออ่านนิทานเป็นประจำ จะช่วยให้เด็กเป็นคนช่างคิด ช่างถาม และพร้อมที่จะเรียนรู้ในทุกๆ เรื่อง
ถ้าท่านเป็นพ่อหรือแม่ที่ยังอ่านหรือเล่านิทานให้ลูกฟังเป็นประจำสม่ำเสมอ ขอให้ท่านจงภูมิใจว่า ท่านเป็นหนึ่งในจำนวนร้อยละ 4 ของพ่อแม่ไทยที่ยังเล่านิทานให้ลูกฟังอยู่
นิทานเป็นสิ่งที่เด็กเล็กๆทุกคนปรารถนา โดยเฉพาะนิทานก่อนนอน แต่ในปัจจุบันพ่อแม่หลายคนอาจไม่มีเวลา และไม่ได้จัดเวลาช่วงก่อนนอน เพื่อเล่านิทานให้ลูกฟัง การเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟังแบบในสมัยก่อนจึงลดน้อยลงหรือขาดหายไป แต่พ่อแม่อาจหาเวลาอื่นๆ ที่เหมาะสมแทนช่วงเวลาก่อนนอน เพื่อจะได้มีเวลาใกล้ชิดกับลูกมากขึ้น หรือบางครอบครัวที่เป็นครอบครัวใหญ่ที่มี ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา หรือพี่ๆ ท่านเหล่านี้ อาจทำหน้าที่เล่านิทานแทนพ่อแม่ก็ได้
ในปัจจุบันหนังสือนิทานจัดพิมพ์ให้มีรูปภาพและสีสันสวยงาม เมื่อเด็กๆได้ฟัง ได้เห็นภาพ ก็จะคิดตาม เป็นการสร้างจินตนาการที่ดีให้แก่เด็ก นอกจากเด็กจะได้รับความรู้ ความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยหล่อหลอมให้เป็นเด็กที่มีสมาธิ และขัดเกลาให้เด็กมีจิตใจที่อ่อนโยน มีคุณธรรม เป็นเด็กมีเหตุมีผล กล้าที่จะซักถามเมื่อไม่เข้าใจ บางครั้งพ่อแม่อาจใช้วิธี การผลัดกันเล่าเรื่อง จะทำให้เด็กได้รู้จักการเรียบเรียง จับประเด็นสำคัญ เพราะในนิทานทุกเรื่องจะมีเนื้อหาที่แฝงไปด้วยสาระ ท้ายสุดลูกๆอาจเก็บรายละเอียดของนิทานที่ฟังมาเล่าต่อกับเพื่อนๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการด้านการสื่อสาร และการใช้ภาษาได้ถูกต้องชัดเจน
พ่อแม่ยุคใหม่มักจะเล่านิทานให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ของแม่ เพราะเด็กจะสามารถได้ยินเสียงของแม่ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน ถือได้ว่าเราสามารถสร้างพัฒนาการให้กับลูกได้ตั้งแต่พวกเขายังไม่ลืมตาดูโลกทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น